น้ำตาแม่จุดพลิกชีวิต “เบิ้ล ปทุมราช” จากเด็กเกเร เฉียดลูกปืน สู่นักร้องแถวหน้า

มีลุ้นมั้ย? “แน็ก ชาลี” รุกหนัก โผล่ถาม “กามิน” กลางไอจี 'ผู้ชายคนนั้นแฟนเหรอ?' เอฟซีใจฟูกรี๊ดหนัก

“นนกุล” ยก “แอฟ” มีครบในคนเดียว ความรักที่แฮปปี้และถูกจังหวะ

เป็นอีกหนึ่งนักร้องลูกทุ่งที่มีแฟนคลับทั่วบ้านทั่วเมือง จนขึ้นมาอยู่แถวหน้าของเมืองไทย สำหรับ “เบิ้ล ปทุมราช” ที่ได้มาเปิดหมดเปลือกในคุยแซ่บShow เรื่องราวชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะ ‘น้ำตาแม่’

โดยนักร้องดัง ได้ย้อนชีวิตวัยเด็กสุดเกเร ลุยดะไม่สนอะไรทั้งนั้น ก่อนจะมาถึงจุดเปลี่ยนเริ่มต้นเป็นศิลปินค่ายดังเมืองไทยได้เพราะโซเชียลมีเดีย และคำพูดที่อยากบอกพ่อกับแม่ในวันที่ประสบความสำเร็จแล้ว

กว่าจะโด่งดัง ชีวิตวัยเด็กน่าตื่นเต้นหลายเรื่อง?

“พ่อแม่เป็นคนอีสาน อาชีพเกษตรกร ชาวนา 100 เปอร์เซ็นต์ คุณพ่อก็รับจ้างทั่วไป ผมเรียกความลำบากเป็นของพ่อแม่ ด้วยความที่พ่อแม่ยากจนติดลบ ช่วงนั้นชาวนาส่วนใหญ่ชอบกู้หนี้ยืมสินเพื่อเอามาสร้างรายได้ในการทำงานเกษตร แต่ความเป็นลูกผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองลำบาก เพราะพ่อแม่เขาสร้างพื้นฐานความสบายให้เรา ไม่อยากให้เรารับรู้ เรามารู้ว่าพ่อแม่ลำบากตอนเราโต รู้ที่มาของเงินรู้ที่มาของการกู้มา รายได้ชาวนา ผมว่าหนึ่งปีมากสุดคงไม่เกิน 4-5 หกหมื่น นี่ไม่รวมค่าปุ๋ย แต่ถ้ารายได้เฉลี่ยต่อวัน วันละ 170-200”

พอเรารู้ว่ารายได้พ่อแม่เราไม่ได้มาก ความลำบากของเราเป็นยังไง?

“ผมเซนซิทีฟมากขึ้นในการใช้ชีวิต ในวัย 14-15 พอรู้ว่าเงินที่ได้มา มีจุดพีคคือเห็นพ่อแม่ต้องขายทรัพย์สินที่สำคัญในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นวัว ควาย ที่ไร่ ที่นา ที่เคยซื้อไว้ จริงๆ เป็นมรดกแต่เขาต้องขายส่งพี่ชาย ซึ่งคนละพ่อ เขาส่งเรียนหนังสือจนจบ ปวส. จนมารู้ว่าวันนึงพ่อแม่ใช้หนี้ไม่ทัน เกษตรกรชาวนารายได้ไม่ดี เขาต้องขายทรัพย์สินที่มี ไม่ว่าจะรถไถนา ที่นาที่ซื้อไว้ ไร่นาของปู่ยาตายาย เราก็เลยรู้สึกว่าวันที่เราสบาย วันนั้นเป็นวันที่พ่อแม่ลำบากโคตร ก็มีจุดเปลี่ยนตรงที่จะทำอย่างไรให้เขารู้สึกว่าเขาเสียกับเราน้อยลง ผมใช้วิธีการแก้ปัญหาผิด จากที่เขาส่งเงินให้เราเรียน ผมก็ไม่เรียนหนังสือเลยดีกว่า ไม่เรียนเลยในปีนั้น ผมย้าย 4 โรงเรียน”

เรียกว่าเกเรได้ไหมขนาดไหน?

 น้ำตาแม่จุดพลิกชีวิต “เบิ้ล ปทุมราช” จากเด็กเกเร เฉียดลูกปืน สู่นักร้องแถวหน้า

“สุดๆ เลย ช่วงเกเรของผมมีสองช่วง ช่วงไม่อยากเรียนหนังสือเพราะไม่ชอบถูกบังคับ ไม่ชอบตื่นเช้า จันทร์-ศุกร์ ไปแก้ ร. ไปแก้เอาคะแนน ไม่อยากอยู่ในกฎเกณฑ์ไม่อยากอยู่ในกรอบห้องเรียน ไปโรงเรียนก็ถือสมุดเล่มเดียว 12 วิชา แล้วก็นั่งดูดบุหรี่ในป่าคนเดียว ไม่เข้าเรียน คุณครูส่งซองขาวให้พ่อแม่ผมก็ฉีกทิ้งหมด พอจบม.ต้นก็ย้ายไปเรียนสายอาชีพ เทคนิคอำนาจเจริญ ช่วงนั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเด็กม.ปลาย ก็กลายเป็นเด็กเกเร ดูดบุหรี่ เที่ยวหมอลำ ตีรันฟันแทง จะคบเพื่อนที่ไม่ใช่ 16 คบเพื่อนอายุ 30 32 งานลอยกระทงทุกปี งานปิดวิกหมอลำ ผมต้องมีชื่อ และวิ่งหนีลูกปืนเข้าโรงสีข้าวทุกปี จริงๆ เราอาจไม่ใช่ผู้สร้างความร้าวฉานตรงนั้น เพียงแต่มีคำว่ากลุ่ม พรรคพวก ปัจจุบันก็เจออยู่นะ”

เรื่องเฉียดตาย?

“เป็นงานลอยกระทง ตอนนั้นตั้งใจไปแบบผู้ดี ไม่ทะเลาะกับใคร ประมาณ 10 ปีที่แล้ว ผมแต่งตัวหล่อ ฉีดน้ำหอม ขี่เวฟร้อย ตั้งใจไปขอพรพระแม่คงคาให้ชีวิตดีขึ้น แต่สุดท้ายชีวิตถูกปลูกฝังไว้ว่าอดีตที่ทำไว้ อดีตที่สร้างความร้าวฉานในช่วงชัยรุ่นเอาไว้ มันตามกลับมาสนอง มันมีคนมาดักเพื่อทำร้ายเรา ดักแก้แค้นเรา จังหวะนั้นเราเหมือนมีเซนส์ หลังลอยกระทงเสร็จ แยกย้ายกลับบ้าน มีมอเตอร์ไซค์ประมาณ 4-5 คน หมุนล้อกลับมาหาเรา แล้วบีบแตรเรียกกัน จริงๆ อยากจอดรถวิ่ง แต่เสียดายเป็นรถพ่อยังใช้ไม่หมด เพื่อนบอกให้แหยียบๆ แต่ทีนี้มอเตอร์ไซค์ 5-10 คันเขาจะดัก แต่คนมีปืนอยู่ข้างหน้า ฝั่งซ้ายเป็นโรงสีข้าวกับเสาไฟฟ้า เหยียบประมาณ 120 เหมือนจะห่างตามไม่ทันแล้ว ลูกปืนตู้ม เฉียดข้างหูไปเลย ถ้าโดนก็น่าจะกลายเป็นศพ รถมอเตอร์ไซค์ล้ม แขนฟาดกับถนนเป็นแผล แล้วทิ้งมอเตอร์ไซค์วิ่งไปในป่า หายใจถี่ๆ บอกว่าไม่อยากตาย”

พ่อแม่รู้ไหมเราหนีกระสุนคำพูดจาก สล็อต777?

“พ่อแม่รู้ทุกเรื่อง ฝั่งแม่จะแก้ปัญหาด้วยการถามไถ่ตลอดว่าเลิกได้ไหม ไม่ไปได้ไหม ยานนอนไม่หลับ แม่ร้องไห้ แต่พ่อผมใช้วิธีการเงียบและใช้ความเจ็บปวดให้ลูกเห็น พ่อจะพูดทีเดียว ถ้าไม่ฟังก็ไม่พูดอีกเลย วันที่พีคสุดคือเห็นแม่น้ำตาไหล ผมถีบมอเตอร์ไซค์ใส่แม่ แม่ห้ามว่าไม่ไปได้ไหม แต่ด้วยความดื้ออยากไป เมาเหล้าขาวด้วย ก็บอกว่าอยากไป อย่ามาห้าม ช่วงนั้นเราก็มีข่าวไม่ดี โดนทำร้ายด้วยแม่ก็ห้าม แม่ถอดกุญแจออกเหมือนจะเอาไปเก็บให้ ผมก็ถีบมอเตอร์ไซค์ใส่บันได ตึ๊ง แม่ก็ร้องไห้น้ำตาไหล บอกว่าอยากไปก็ไป ยื่นกุญแจให้ ความรู้สึกตอนนั้นคือมันชาที่เห็นน้ำตาของแม่ แต่ก็อยากเอาชนะแม่ในวันนั้น ยังไงก็ต้องไป เหมือนมีสองร่างอยู่บนบ่า ร่างนรกบอกว่าไปเลย ไม่ต้องซีเรียส แม่ให้กุญแจแล้ว อีกร่างสวรรค์บอกว่าทำแม่น้ำตาไหลนะ เคยได้ยินยายพูดให้ฟังไหมตอนเด็ก เวลาใครทำพ่อแม่น้ำตาไหล ตกนรกไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด มันเหมือนมีสองฝ่ายคุยกัน”

วันนั้นฟังฝั่งไหน?

“ฟังเท่ากัน มันเถียงกัน แล้วผมก็บอกว่า เฮ้ย หลีกทางให้ก่อน ตัดสินใจเอง ก็เดินมาปากซอย บอกว่าทะเลาะกับแม่ ไม่ไปดีกว่า แต่ก็กินเหล้าอยู่แถวนั้น เสพอบายมุขอยู่แถวนั้น ไม่ได้เข้าบ้าน”

ได้ขอโทษแม่ไหม?

“สมัยก่อนมีความขี้อาย ไม่ได้เป็นเบิ้ลที่ขี้เล่นกล้าพูดแบบนี้ วันนั้นผมก็เลือกไม่ไปขอโทษแก ช่วงนั้นก็เริ่มคิดแล้วนะ น้ำตาแม่เปลี่ยนนิสัยผมได้ 50 เปอร์เซ็นต์เลย ผมคิดในใจว่าถึงจะทำเลวเหมือนเดิม ถึงจะเที่ยวกินเหล้าเป็นนักเลงเหมือนเดิม แต่กูจะไม่ทำให้แม่น้ำตาไหลอีกแล้ว สองคือจะทำอย่างไรให้เขารู้สึกว่าเราเป็นภาระของเขา ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ 17-18 เพื่อนก็ย้ายไปทำงานก่อสร้าง ไปอยู่กรุงเทพฯ ผมไม่เคยไปมากรุงเทพฯ เลย ตั้งแต่อายุ 15-16 ไม่เคยเหยียบกรุงเทพฯ ไม่รู้จักทองหล่อ”

ทำแม่ร้องไห้ จุดไหนที่เราไม่เอาแล้ว จากนี้จะไม่ทำให้แม่ร้องไห้?

“ความเงียบของพ่อ และการเปลี่ยนแปลงของแม่ที่เคยพูดกับเราบ่อยๆ กลายเป็นไม่กล้าพูดกับเรา ไม่รู้ว่าแม่กลัวเราหรือเจ็บปวดกับสิ่งที่เราทำหรือเปล่า พ่อแม่ขยันมากเลยนะ รับจ้างไถนา ได้อาทิตย์ละ 700 บาท ให้ลูกเรียน แต่เรากลับไม่ตั้งใจเรียน ก็พูดกับตัวเองตลอด เรื่องเที่ยวหมอลำก็เริ่มไม่ค่อยไปแล้ว และจะทำอย่างไร อยากสัญญาอะไรกับตัวเองจะมีคำนึงกลับมาว่าทำไม่ได้หรอก เพราะทำตัวแบบนี้ คนอื่นรู้นิสัยหมดแล้ว คำสัญญาของมึงไม่มีอยู่จริง ทำให้ได้ก่อนแล้วค่อยพูด ลุง ป้า น้า อา เขาสงสารพ่อแม่ ทำไมเกิดมาหน้าตาดี นิสัยดีตั้งแต่เด็ก แต่ทำไมโตมาทำให้พ่อแม่ไม่สบายใจ

ตอนนั้นอายุประมาณ 16 ผมก็บอกแม่ว่าจะไปทำงานที่กรุงเทพฯ จะไปทำงานก่อสร้าง พ่อก็บอกว่าทำไม่ได้หรอก แค่ทำนาเกี่ยวข้าวยังตื่นสายเลย (หัวเราะ) มันประจวบพอดีกับพี่สาวข้างบ้านเขามีแฟนเป็นคนจีนอยู่ราชบุรี อ.บางแพ เขาเปิดร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ ผมไปกินเหล้ากับเขา เขาก็ถามว่าผมอายุเท่าไหร่ ไม่ได้เรียนหนังสือเหรอ งั้นไปทำงานกับพี่ พี่เปิดร้านมอเตอร์ไซค์อยู่บางแพ จ.ราชบุรี ก็ไปช่วยหยิบจับโน่นนี่นั่น เดี๋ยวจะช่วยสอนเรื่องการซ่อมรถด้วย เผื่อใช้เป็นวิชาในชีวิต แต่ไม่มีเงินเดือนให้นะ ผมก็คิดไม่เยอะ อาจเมาเหล้าด้วยตอนนั้น ผมก็ไป วันที่ 4 เขาก็ให้ลาพ่อแม่เลย พ่อแม่ก็งงว่าผมจะทำได้เหรอ (แล้วทำได้ไหม?) ก็ไม่รู้ มันพูดไปแล้ว”

มาเป็นนักร้องได้ไง?

“เป็นเรื่องของการสะสมความรู้สึก วัยเด็กชอบร้องเพลง แต่ทำให้เราลืม คุณครูส่งเราประกวดตั้งแต่เด็ก ตอนมาซ่อมรถนี่แหละทำให้เราได้เปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่าง ฝึกตื่นเช้า ไม่ค่อยดูดบุหรี่เลย เหล้าก็ไม่ค่อยดื่ม มาอยู่กับคนที่เขาซีเรียสชีวิตมากขึ้น เราไม่ได้ตื่นสาย สบาย เราต้องทำเองทุกอย่าง ช่วงนั้นผมเล่นเฟซบุ๊กใหม่ๆ อัดเพลงลงเฟซบุ๊กไม่เห็นหน้า เป็นเพลงของ ‘เอกพล มนต์ตระการ’ เพลงหยาดเหงื่อเพื่อแม่ ร้องจากความรู้สึก เพื่อนในเฟซบุ๊กเขาชอบ ไอ้เบิ้ล มึงร้องเพลงเยอะมาก ทำไมไม่เอาทางนี้วะ ทำให้เราคิดกลับไปตอนเป็นเด็ก เฮ้ย ตอนอยู่ประถม ตอนครูส่งผมขึ้นร้องเพลง เพื่อนปรบมือว่าผมร้องดีมาก แล้วเพื่อนบอกว่ามาทางถูกทางแล้ว ผมอยากได้กีต้าร์ เก็บเงินจากการซ่อมรถได้ประมาณเดือนสองเดือน มีเงินในตัวประมาณ 1,500 ผมก็โทรหาแม่ ขอเงินซื้อกีต้าร์ ผมดีดพิณพอมีความรู้ แต่เล่นกีต้าร์ไม่เป็น อยากได้กีต้าร์ตัวละ 4,500 โทรหาแม่อยากได้กีต้าร์ มีอยู่ 1,500 เดี๋ยวจะยืมเพื่อนด้วย แม่ช่วยได้มั้ยสัก 2,000 แม่บอกว่ามี แต่เรามารู้ทีหลังว่าแม่กับพ่อไปถอนกล้ารับจ้างเกือบสัปดาห์ มัดละ 5-10 บาท ไปถอนข้าวที่เขาจะใช้ดำ ทำเป็นมัดเพื่อรับจ้าง รวมกันของคนแก่ ทำให้ผมมีเงินหลักพันมาซื้อกีต้าร์”

อยากบอกอะไรพ่อแม่?

“พูดเรื่องพ่อแม่ผมร้องไห้ตลอดเพราะผมเซนซิทีฟ พ่อไม่เคยอยากให้ผมรู้สึกว่าต้องรักษาชื่อเสียงตรงนี้ไว้ พ่ออยากให้ผมรักษาสุขภาพ แต่สิ่งที่ผมห่วงที่สุดคือสุขภาพพ่อแม่เหมือนกัน วันที่ผมดัง เปลี่ยนจากเงินค่าตั๋ว 400 บาทที่พ่อแม่ให้ผมมา ผมมาเปลี่ยนเป็นเงินหลักล้าน ผมหาได้ แต่สิ่งที่ผมอยากเห็นตอนนี้คือความเปลี่ยนแปลงของครอบครัว อยากเห็นรอยยิ้มและมีความสุขกับการใช้ชีวิต ไม่อยากให้โหมทำงานหนักเหมือนเดิม สักวันนึงผมก็ต้องคืนสู่จุดเริ่มต้นที่เคยจากมา ไม่เคยคิดว่าชื่อเสียงจะอยู่กับผมตลอดชีวิต สองขาผมยังอยู่บนดินเสมอ อยากให้แม่รู้ว่านี่คือลูกพ่อแม่ตลอดไป น้ำตาที่แม่เสียมา อยากให้รู้ว่ามันจะไม่สูญเปล่า ผมไม่มีวันทำให้แม่เจ็บปวดแบบนั้นอีกต่อไป ผมรักแม่ที่สุด ช่วงที่เราไม่มีครอบครัว ไม่มีเมีย ไม่มีลูก พ่อแม่คือคนที่เราอยากซัปพอร์ตที่สุด”

เส้นทางศิลปิน?

“เริ่มอัดเพลงลงไม่มีภาพ อัดเพลงลงเรื่อยๆ ก็กลายเป็นความชอบของคนในโซเชียล มีพี่ชายคนนึงชื่อพี่ออดี้เขาโทรมา เบิ้ล พี่รู้ว่าเปิ้ลจะไปที่ไหน เบิ้ลไปเรียนสายงานดนตรีโดยตรงเลย ไปเรียนนาฎศิลป์ ผมก็ย้ายไปเรียนนาฎศิลป์ และรู้ทักษะดนตรีมากขึ้น อัดเพลงนึงขึ้นมาคือหนุ่มบ้านนา ตามหาฝัน ตอนนั้นมียูไลค์ คลิปเด็ด เขาแชร์เยอะจนผมมีคนติดตาม มียอดไลค์จากคนกดไลค์ 25 คน มีคนกดไลค์ 300-400 คน วันนั้นในยุคโซเชียลบูมใหม่ๆ จากคลิปนี้ปล่อยไป มีคนทักมาว่าอยากให้ผมแต่งเพลงให้เขาร้องหน่อย”

ความสำเร็จของเรามาจากพ่อแม่ และเจ้าของร้านมอเตอร์ไซค์ สุดท้ายพอเป็นศิลปิน มายังไง ใครติดต่อมา?

“จากนั้นมีคนติดต่อ ผมก็กลับไปหาพ่อแม่ บอกว่าจะแต่งเพลงขาย เพราะมีหมอลำซิ่ง มีนักร้อง มีศิลปินค่ายใหญ่ด้วยนะ เขาอยากซื้อ 3 พันถึง 4 พันต่อเพลง ผมจะออกมาแต่งเพลง ผมจะออกจากโรงเรียนนาฎศิลป์ แม่เชื่อใจมากขึ้นเพราะแววตาการพูดมันเปลี่ยนไป ผมจะออกมาแต่งเพลงขาย แต่แม่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะให้ลาออกหรือเปล่า เป็นช่วงปิดเทอมก่อนเข้าปีที่สองของนาฎศิลป์ ผมนั่งอยู่เถียงนา แต่งเพลงอ้ายมีเหตุผลลงเฟซบุ๊ก แล้วอยู่ดีๆ ช่วงนั้นจากคนกดไลค์ผมหลัก 500-800 ผมตื่นเช้ามาคนกดไลก์ผม 5 พันคน

มีค่ายใหญ่ๆ ติดต่อมา มีโปรดิวเซอร์ถามผมด้วย มีพี่ชายคนนึงชื่อว่าพล บอกว่ามีโปรดิวเซอร์อาร์สยาม และบอสใหญ่ ‘พี่เณร ศุภชัย’ อยากเจอน้อง อยากให้น้องเป็นศิลปิน แต่เอาเพลงมาเสนออาร์สยาม เสนออาร์เอสก่อน ผมก็ไปคุยกับเขาก่อน ผมบอกแม่ผมจะไปคนเดียว เข้ากรุงเทพฯ อีกครั้ง แต่ผมไม่มีตังค์นะ ขอยืมตังค์หน่อย 700 บาทขึ้นรถมาคนเดียวลงที่หมอชิต ผมไปเจอผู้ใหญ่จริงๆ ไปเจอพี่เณร เขาเดินมาบอกว่ายินดีที่ได้รู้จักนะเบิ้ล ผมติดตามคุณในโซเชียล เพลงคุณดีทุกเพลง ถ้ามีโอกาสมาทำด้วยกัน วันที่ 2 มาเล่นที่อาร์เอส ผมได้เห็นตึกอาร์เอส ยังกดลิฟต์ไม่เป็น ใส่รองเท้าแตะ สะพายย่ามเข้ามาค่ายใหญ่ ทุกคนมองเหมือนผมเป็นเด็กวัดเดินตามหลวงพ่อ ผมเจอผู้ชายคนนึงอยู่ข้างลิฟต์ บอกว่าพี่ครับ กดลิฟต์ให้ผมหน่อย มารู้ทีหลังว่าคนนั้นคือลูกชายเฮียฮ้อ (หัวเราะ)

ผมก็เสนอเขาไปเพลงนึง คือเพลง ‘อ้ายมีเหตุผล’ เพลงที่โด่งดังเป็นเพลงประจำตัว เขาบอกโอเค ทำเลย วันที่ 14 ต.ค. พาแม่มาทำสัญญา ผมรับคุณเป็นนักร้อง จากเด็กอยู่เถียงนาได้มาเป็นศิลปิน แม่ดีใจมาก วันที่มาทำสัญญา แม่ลากกระเป๋าลากมาอยู่แถวๆ อาร์เอส น้ำตาจะไหล ไม่รู้จะดังหรือรวยหรือเปล่า แต่รู้ว่าวันนั้นได้เป็นนักร้องแล้วเว้ย ได้เป็นสัญญาแล้วเว้ย ตอนนั้นเซ็นสัญญา 8 ปี เริ่มต้นด้วยการเป็นศิลปินฝึกหัด ทุกวันนี้เอาคนเซ็นสัญญามาเป็นเลขาส่วนตัว”

เงินก้อนแรกได้ตอนไหน?

“ได้จากคอนเสิร์ตแรกในชีวิต ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เขาบอกค่าตัวเบิ้ล ปทุมราช บริษัทเคาะมาแล้ว 2.5 หมื่น โอ้โห จากรับจ้างถอนหญ้าวันละ 170 เช็ดโด้ วันนั้นเงินยังไม่เข้า เงินเข้าอาร์เอส (หัวเราะ) ก็รวมเก็บไว้งานละ 5 พันใช้หนี้ให้แม่ ตอนแรกเราไม่รู้เราจะดังหรือเปล่า สายแรกที่โทรมาคือสุราษฎร์ธานี แต่สุดท้ายคอนเสิร์ตนั้นกลายเป็นคอนเสิร์ตสุดท้าย เพราะพอเพลงปล่อยออกไป ผมดังชั่วข้ามคืน 2 เดือน เพราะมีฐานแฟนคลับจากโซเชียลอยู่แล้ว ผมมีค่าตัวใน 1 ปี จาก 2.5 หมื่น ผมอายุ 20 พอดี ผมขึ้นราคาเป็น 1.2 แสน ผมก็เก็บเงิน 5 เดือนได้ 5 แสน ผมก็ไปกราบเท้าพ่อแม่ ตอนแรกเอาไปต่อเติมสร้างบ้านให้ยายนอน แล้วก็บอกแม่ให้เอาตรงนี้ไปใช้ ไม่อยากให้พ่อแม่เหนื่อย กราบเท้าว่าหลังจากนี้ผมจะหาได้อีก ไม่คิดว่าก้อนแรกวันนั้นที่ผมหาได้ มันพาผมมาสู่วันนี้ ที่หาได้เกินกว่าชีวิตที่ผมคิดไว้มาก มันเยอะมากสำหรับเด็กคนนึง

หลายคนอาจมีเป้าหมายอยากมีหมื่นล้านพันล้าน ผมก็เคยซื้อเบนซ์ ซื้อรถแพง อยากซื้อบ้านหลัง 50 ล้านในช่วงที่ดังแรกๆ แต่พอผมเติบโตมากับมันจริงๆ ผมก็คิดว่าอะไรก็ได้ที่มันพอดีๆ อาจต้องขอบคุณช่วงที่ผมเป็นนักร้องกำลังดัง ผมไปติดทหารด้วย ผมสูญเสียมูลค่าของเงินและงานไปมาก มันทำให้คิดว่าพอผ่านเหตุการณ์ความดัง ติดราชการ ออกมาเป็นโปรดิวเซอร์ วันนี้พ่อแม่เป็นตัวอย่างในคำว่าพอดี เหมาะสมกับตัวเอง เหมือนเราใส่เสื้อผ้าสบายๆ ไม่คับไม่หลวมจนเกินไป ผมอยากยืนนิ่งๆ ใช้วิถีที่สบายๆ

ยิ่งไม่ต้องการเท่าไหร่ผมยิ่งได้เท่านั้น ทุกวันนี้ทิปหน้าเวทีหลักหมื่นหลักแสน ผมเอาไปทำบุญ สร้างห้องน้ำให้เด็กในจังหวัดนั้นๆ โอนให้เด็กให้โรงเรียนแต่ละโรงเรียน ยิ่งได้มากขึ้น ผมไม่คิดว่าวันนึงผมจะได้มาเป็นพรีเซนเตอร์ แค่ผมได้รับงานรีวิวในราคาหลักพันหลักหมื่นก็โอเคแล้ว พ่อแม่ก็ร้องไห้ เขาดีใจ นั่งคุยกันสามคน ผมก็กลัวว่าวันนึงผมตื่นมาแล้วผมฝันไปว่าผมเป็น ‘เบิ้ล ปทุมราช’ แล้วดังมาก

กลัวว่าสิ่งที่สร้างให้พ่อแม่มีรอยยิ้มากขึ้นมันจะหายไปในพริบตา พ่อแม่รู้ไหมว่าวันที่พ่อแม่พาผมไปไกวเปลให้ผมนอน พ่อเปิดวิทยุให้ผมฟัง นั่นคือครูคนแรกของผม เวทีที่ดีสำหรับผมคือคันนาในวันนั้น พ่อแม่อยู่กับผมทุกช่วงเวลาเลยนะ ทุกเหตุการณ์ ทุกช่วงวัยอายุ จนวันที่ผมเป็นดารา เป็นศิลปินก็เพราะพ่อแม่ ผมกลัวว่าวันนึงตื่นมาแล้วฝัน แต่ผมยังอยากทำมันอยู่นะ แม้คนจะบอกว่าเบิ้ลรับงานเยอะจัง เดือนนึงผมรับเกือบ 42 งาน ทั้งรายการ พิธีกร คอมเมนเตเตอร์ตลกๆ งานละคร งานหนัง เพราะผมไม่รู้ว่าผมจะได้ทำงานแบบนี้อีกหรือเปล่า ผมได้ทำทุกอย่าง ผมไม่อยากปฏิเสธงานที่เข้ามาในชีวิตผม”

You May Also Like

More From Author